logisticsthailand
Sustainability

เริ่มต้นอย่างไรกับโลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics)

V.Cargo Go Green

การปรับตัวของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์และขนส่งของประเทศไทย มีทิศทางในรูปแบบที่เปลี่ยนไป คำถามคือว่า แล้วผู้ประกอบการขนส่งและโลจิสติกส์ไทยจะมีการเริ่มต้นอย่างไรกับโลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics)

กฤษณพงศ์ ศรีสงคราม กรรมการผู้จัดการ  V.Cargo Co., Ltd กล่าวว่า อุตสาหกรรมขนส่งสินค้าเป็นหนึ่งในการสร้างก๊าซเรือนกระจกส่วนใหญ่เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปลดปล่อยจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงในการขนส่ง ปัญหาโลกร้อนกลายเป็นข้อกังวลใหญ่ที่ก่อผลกระทบต่อทุกคนบนโลกใบนี้ อุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นนำมาซึ่ความเปลี่ยนสภาพอากาศที่ผิดปกติในหลายมิติ ในฐานะผู้ประกอบการขนส่งและโลจิสติกส์มีส่วนได้และสร้างส่วนเสียต่อสภาพอากาศ ในมุมมองของ V.Cargo ต้องมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม การเริ่มต้นเป็นสิ่งสำคัญเพื่อรักษาโลกนี้ให้กับคนรุ่นต่อไป

       กระบวนการทำงานบริการของ V.Cargo ตลอดหลาย 10 ปีที่ผ่านมา การลงทุนในทรัพยากรในการทำงาน ในการให้บริการ การปรับปรุงประสิทธิภาพ บริหารจัดการรถขนส่งให้เกิดประสิทธิภาพ การลดการสูญเปล่าในกระบวนการทำงาน การนำเสนอที่มุ่งเกิดผลต่อด้านต้นทุน การเลือกใช้พลังงานและรถบรรทุกที่มีประสิทธิผลด่านเครื่องยนต์ที่ก่อผลให้สิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด นำเทคโนโลยีมาบริหาร การใช้เทคโนโลยีในการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 emission) และมลพิษ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ เช่น การใช้ยานพาหนะ ที่ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

       V.Cargo มีการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้า (Model Shift) ตามความต้องการที่นำเสนอให้ลูกค้า เลือกรูปแบบ การขนส่งสินค้าจากรูปแบบที่มีการปลดปล่อยมลภาวะ จากการขนส่งทางถนน ด้วยรถบรรทุก ไปสู่รูปแบบการขนส่งสินค้าที่ปลดปล่อยมลพิษน้อยกว่าในหลายกรณี การขนส่งสินค้าร่วมกัน (Joint Transportation) การปรับปรุงประสิทธิภาพ การขนส่งสินค้า (Load efficiency) โดยการรวบรวมสินค้าจากผู้ประกอบการ ลดการขนส่งเที่ยวเปล่าและการบรรทุกสินค้าให้เต็มรถ (Backhaul &Full Truck Load)

       V.Cargo คิด solution ในการให้บริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าใน Solutionใหม่ๆ ที่ทางบริษัทขนส่งต้องมีให้กับลูกค้า และเป็น solution ที่สามารถตอบสนองการแข่งขันของลูกค้าได้ การแข่งขันของลูกค้าคือ ต้องทำงานให้ดี คุณภาพได้ “ถูก และดี” คือสิ่งที่ลูกค้าต้องการ โจทย์ตรงประเด็นในภาคปฏิบัติ ผู้ให้บริการต้องมีเครื่องมือในการบริหารงานที่ประสิทธิภาพ

       KPI คือตัวชี้วัดที่ทางลูกค้าและผู้บริการขนส่งต้องกำหนดว่ามีตัวไหนบ้าง เช่น การส่งสินค้าตรงเวลาซึ่งเป็นหัวใจของการขนส่ง เรื่องการส่งที่มีคุณภาพ ถูกต้องของไม่เสียหาย รถที่รองรับงานต้องครบถ้วน พวกนี้จะตั้งเป็นเปอร์เซ็นต์ TMS สามารถดึงข้อมูลออกมาได้ทั้งหมด สิ้นเดือนคุยกับลูกค้าว่า KPI ที่ได้หรือที่ไม่ได้ เป็นเพราะอะไรเพื่อแก้ไขได้ถูกทาง

       การนำระบบ TMS ระบบจัดการการขนส่ง Transportation Management System   ของเมืองไทยดีๆ มี ซึ่งได้นำมาใช้ สามารถตรวจสอบควบคุมการทำงานของคนรถให้ได้ประสิทธิภาพดีที่สุด ตั้งแต่การเชื่อมข้อมูลมาจากลูกค้า เข้าระบบ จัดเส้นทางที่เหมาะสม คำนวณชิ้น น้ำหนักใน 1 เที่ยว และคำนวณราคาต่อคิวออกมา ใบงานหรือเอกสารข้อมูลไปรับของ จะไปขึ้นมือถือของคนขับรถ รู้งานโดยไม่ต้องพึ่งเอกสารเลย

       การใช้แอพพลิเคชั่นส่งข้อมูลไปให้คนรถ จะรู้เลยว่างานมีเท่าไร รับของได้เลยโดยไม่ต้องเข้ามาที่ศูนย์และสแกนรับของหน้างานจากลูกค้า สามารถตรวจสอบได้ว่าครบ และนำของส่งลูกค้า โดยเซ็นรับส่งและถ่ายรูป ดูสภาพการส่ง ถูกต้องเรียบร้อยหรือไม่ มีการบันทึกเวลาส่งเสร็จ จะกำหนด location ของลูกค้าในแต่ละ Shipment  สามารถตรวจสอบหรือดึงมาเป็นข้อมูลที่จะวิเคราะห์ได้

       เป็นการบริหารประสิทธิภาพในการให้บริการด้านโลจิสติกส์กับลูกค้า V.Cargo และ V.Cargo ชอบที่จะเริ่มต้นในสิ่งใหม่ที่สร้างผลดีต่อคู่ค้า ต่อองค์กร ต่อสาธารณะ ที่มาพร้อมโอกาสที่กล้าลงทุนล่วงหน้าเสมอมา การทำธุรกิจที่มองอนาคตของโลกใบนี้มองความมีส่วนร่วมต่อการประกอบการที่ลดผระทบต่อสภาพภูมิอากาศอันมาจากปัญหาโลกร้อน การเลือกลงทุนในพลังงานใหม่โดยเฉพาะ EV มาเป็นทิศทางที่ท้าทายต่อองค์กร

       V.Cargo เริ่มเปลี่ยนไปใช้รถบรรทุกไฟฟ้า (Electric Vehicle Truck: EV Truck) โดยใช้เทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนรถยนต์แทนการใช้น้ามันเชื้อเพลิง ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงและค่าบำรุงรักษา รวมท้ังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นการลงทุนที่กล้าได้ กล้าให้ กล้าเดินนำหน้า เหตุผลใหญ่คือเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคม การนำเสนอต่อการตอบสนองทิศทางธุรกิจของคู่ค้า

       V.Cargo ได้นำรถบรรทุกไฟฟ้าพลังงานสะอาด หรือ อีวีทรัค (EV Truck) มาให้บริการตามความต้องการของคู่ค้าที่มีเป้าหมายเดียวกันในการส่งเสริมลดปัญหาโลกร้อน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยได้ร่วมกับทาง Homepro ห้างค้าปลีกด้านวัสดุก่อสร้างและวัสดุตกแต่งที่มีสาขาทั่วประเทศ โดยในแผนการใช้รถอีวีทรัค (EV Truck) ในปี 2567 จำนวน 14 คัน ทั้งรถหัวลาก รถบรรทุก 6 ล้อ รถกระบะบรรทุก ทั้งนี้ทาง Homepro มีเป้าหมายในการปรับเปลี่ยนรูปแบบของรถขนส่ง จากรถที่ใช้พลังงานน้ำมัน เป็นรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า หรือ EV Truck และจะเปลี่ยนเป็นรถบรรทุกไฟฟ้าทั้งหมดในอนาคต

       V.Cargo ได้นำรถบรรทุกไฟฟ้าพลังงานสะอาด หรือ อีวีทรัค (EV Truck) ให้กับคู่ค้ารายอื่นที่มีเป้าหมายในการร่วมกันลดปัญหาโลกร้อน ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษา การที่  V.Cargo ร่วมกับทาง Homepro เป็นการมองโอกาสไปข้างหน้า เป็นการลงทุนที่ต้องการให้ทุกภาคส่วนเห็นความสำคัญของการมีส่วนร่วมในการรักษาโลกใบนี้ เพราะทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนได้กำไรจากการใช้พลังงานที่ก่อมลพิษพลังงานที่ก่อผลกระทบต่อโลกมานาน เพราะการลงทุนรถบรรทุกไฟฟ้าพลังงานสะอาด หรือ อีวีทรัค (EV Truck) มีต้นทุนในเรื่องค่าตัวรถที่สูงกว่ารถที่ใช้น้ำมัน อย่างรถบรรทุกกระบะไฟฟ้า คันหนึ่งราคา 9 แสนกว่าบาท หรือรถบรรทุก 6 ล้อไฟฟ้า คันหนึ่งราคา 3 ล้านกว่าบาท  หรือรถบรรทุกหัวลากไฟฟ้าคันหนึ่ง 5 ล้านกว่า

        “รัฐบาลควรมีนโยบายสนับสนุนหรือส่งเสริมให้สอดคล้องกับเป้าหมายของนโยบายที่ได้ประกาศไว้ในเวทีระดับโลก ในการที่ให้การสนับสนุนทั้งเรื่องภาษี เรื่องการอำนวยความสะดวกจุดชาร์จ การส่งเสริมให้การสนับสนุนแบบครบวงจรเพื่อเป้าหมายการสร้างความสะอาดจากมลภาวะที่เกิดจากระบบการขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุก”

Related posts

CP ALL (Net Zero) ในปี 2050

admin